วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บทที่ 1

1.ข้อแตกต่างระหว่าง E-Business และ E-Commerce
การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น จึงมีขอบเขตที่แคบกว่าธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นการดำเนินธุรกิจทุกด้านโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์

2.คุณลักษณะสำคัญของ E-Commerce มีอะไรบ้าง2.1 การมีอยู่ทุกแห่งหน (Ubiquity)
2.2 สามารถเข้าถึงได้ทั่วโลก (Global Reach)
2.3 ใช้มาตรฐานเดียวกัน (Universal Standard)
2.4 ความสมบูรณ์ของข้อมูล (Richness)
2.5 การโต้ตอบ (Interactive) E-Commerce
2.6 ความหนาแน่นของสารสนเทศ (Information Density)
2.7 การปรับแต่ง และสร้างความเป็นส่วนตัว (Personalization/Customization)

3.E-Commerce แบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
10 ประเภท คือ
3.1 Business – to – Business (B2B)
3.2 Business-to-Consumer (B2C)
3.3 Consumer-to-Consumer (C2C)
3.4 Consumer-to-Business (C2B)
3.5 Intrabusiness E-Commerce
3.6 Business-to-Employee (B2E)
3.7 Collaborative Commerce (C-Commerce)
3.8 Electronic Government (E-Government)
3.9 Exchange-to-Exchange (E2E)
3.10 Nonbusiness E-Commerce

4.อธิบายแรงผลักดันให้มีการพัฒนา E-Commerce
ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานภายในองค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วย เช่น สภาพเศรษฐกิจ สังคม คู่แข่ง และเทคโนโลยีเป็นต้น ในที่นี้จึงขอจำแนกแรงผลักดันให้มีการพัฒนา E-Commerce ออกเป็น 2 ประการ คือ การปฏิวัติสู่ยุคดิจิตอล (Digital Revolution) และสภาพเวดล้อมทางธุรกิจ (Business Environment)

5.ยกตัวอย่างกลยุทธ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในองค์กรมา 4 อย่าง

5.1 มีกลยุทธ์ในการรับผิดชอบดูแลเรื่องการประหยัดงบประมาณ การใช้จ่ายทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
5.2 กำหนดแผนยุทธ์ศาสตร์ด้านความปลอดภัยระบบสารสนเทศให้ชัดเจนและนำไปปฏิบัติจริงได้
5.3 เพิ่มความรู้และมีความรอบรู้เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและไม่ล้าสมัย
5.4 นำองค์กรเข้าสู่มาตรฐานกำหนดความปลอดภัยสารสนเทศที่สากลให้การยอมรับและเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบ จากผู้ตรวจสอบระบบสารสนเทศ

6.แบบจำลองทางธุรกิจ (Business Model) คืออะไร ประกอบด้วยโครงสร้างใดบ้าง
คือ วิธีการดำเนินธุรกิจที่ช่วยสร้างรายได้ ทำให้บริษัทสามารดำรงอยู่ต่อไปได้ รวมถึงกิจกรรมช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Add) ให้กับสินค้าและบริการ กิจกรรมเหล่านี้สามารถวิเคราะห์ได้จากตัวแบบห่วงโซ่แห่งคุณค่า (Value Chain Model)
ประกอบด้วย
6.1 Value Proposition
6.2 Revenue Model
6.3 Market Opportunity
6.4 Competitive Environment
6.5 Competitive Advantage
6.6 Market Strategy

7.ยกตัวอย่างแบบจำลองทางธุรกิจของ E-Commerce มา 5 ชนิด

· Advertising Revenue Model เป็นวิธีสร้างรายได้จากการให้เช่าพื้นที่โฆษณา ซึ่งอัตรารายได้จากการให้เช่าโฆษณาจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของเว็บไซต์ที่เป็นผู้ให้เช่าพื้นที่โฆษณา

· Subscription Revenue Model เป็นวิธีสร้างรายได้จากการให้บุคคลภายนอกเข้ามาสมัครเป็นสมาชิก อาจเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน รายปี สมาชิกจะได้รับสิทธิพิเศษเพื่อขเชมข้อมูลหรือใช้บริการต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากบริการที่เตียมไว้ให้สำหรับบุคคลภายนอก

· Transaction Fee Revenue Model เป็นวิธีสร้างรายได้จากการคิดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมการต้า เช่น คิดค่าขนส่ง ค่าบริการ หรือค่านายหน้าจากการเป็นคนกลางที่จัดให้มีการประมูลออนไลน์ เป็นต้น

· Sale Revenue Model เป็นวิธีสร้างรายได้จากการขายสินค้าและบริการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสินค้าที่จับต้องได้ (Physical Product) ที่ต้องมีบริการจัดส่ง หรืออยู่ในรูปของสินค้าดิจิตอล ที่สามารถส่งข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ได้

· Affiliate Revenue Model เป็นวิธีสร้างรายได้จากค่านายหน้า หรือส่วนแบ่งทางการค้า ซึ่งได้รับฝากลิงค์(link) บนหน้าเว็บหรือที่เรียกว่าบริการ “Affiliate” เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้สนใจคลิกเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บของลิงค์นั้น แล้วทำธุรกรรมการค้ากับบริษัท

8.บอกข้อแตกต่างระหว่างการทำธุรกิจทั่วไป และ E-Commerce-การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล
-การตอบสนองเพื่อการแข่งขัน
-การให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
-การควบคุมและปฏิสัมพันธ์ได้ด้วยตนเอง
-การสร้างร้านค้าเสมือนจริง
-การติดตามพฤติกรรมของผู้บริโภค
-โครงข่ายเศรษฐกิจ
-การส่งเสริมภาพลักษณ์อันดี


9.ยกตัวอย่างข้อดีและข้อเสียของการพัฒนา E-Commerce มาอย่างละ 5 ข้อ

ข้อดี
1.สามารถเปิดดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2.สามารถดำเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก
3.ใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ
4.ไม่ต้องเสียค่าเดินทางในระหว่างการดำเนินการ
5.ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ และยังสามารถประชาสัมพันธ์ในครั้งเดียวแต่ไปได้ทั่วโลก
6.สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้บริการอินเทอร์เนตได้ง่าย
7.ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
8.ไม่จำเป็นต้องเปิดเป็นร้านขายสินค้าจริงๆ

ข้อเสีย
1.ต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยของระบบที่มีประสิทธิภาพ
2.ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ไม่ได้ใช้บริการอินเทอร์เนตได้
3.ขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิต
4.ขาดกฎหมายรองรับในเรื่องการดำเนินการธุรกิจขายสินค้าแบบออนไลน์
5.การดำเนินการทางด้านภาษียังไม่ชัดเจน

บทที่ 3

1.การโฆษณาบนเว็บ (Web Advertising) คืออะไร

การขายรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สินค้าและบริการของบริษัทเป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคผ่านทางสื่อโฆษณาที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เป็นต้น แต่สื่อโฆษณาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการตลาดแบบติดต่อสื่อสารแบบทางเดียว (One-way Communication)


2.บอกข้อแตกต่างระหว่าง Ad Views และ Ad Click

แอดวิวส์ (Ad Views/Impression/Page Views) เป็นจำนวนครั้งที่ลูกค้าเห็นหน้าเว็บที่มีป้ายโฆษณา (Banner)ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งตามที่กำหนดไว้

แอดคลิก (Ad-Click / Click-Through) เป็นการนับจำนวนครั้งที่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์คลิกที่ป้ายโฆษณาในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อไปยังเว็บไซต์ปลายทาง


3.CPM (Cost Per Thousand Impression) คืออะไร

ต้นทุนที่ผู้โฆษณาจะต้องจ่ายเป็นค่าป้ายโฆษณา


4.Conversion Rate ของเว็บไซต์ที่มีจำนวนผู้เยี่ยมชม 100 คน แต่มีผู้ซื้อสินค้าจริง 50 คน มีค่าเท่าใด

50%

5.Click Through Ratio เมื่อมีผู้เยี่ยมชมเปิดเพจที่มีโฆษณา 150 เพจ แต่คลิกเข้าไปดูโฆษณาจริง 20 ครั้ง มีค่าเท่าใด

30%

6.บอกข้อแตกต่างระหว่าง Banner Swapping และ Banner Exchange
Banner Swapping ข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างบริษัท 2 บริษัท เพื่อแลกเปลี่ยนแบนเนอร์ระหว่างกัน โดยแต่ละฝ่ายจะนำแบนเนอร์ของอีกฝ่ายไปแสดงไว้บนเว็บเพจของตน

Banner Exchange แหล่งแลกเปลี่ยนแบนเนอร์ระหว่างบริษัทต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนดขึ้น โดยสามารถจัดการแลกเปลี่ยนแบนเนอร์ตั้งแต่ 2 บริษัทขึ้นไป


7.อธิบายข้อจำกัดของการโฆษณาแบบป๊อปอัพ (Pop-Up) พอสังเขป
โดยทั่วไป ป๊อปอัพ (Pop-Up) โฆษณาแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

Pop-Up Advertising เป็นโฆษณาที่แยกออกเป็นเว็บบราวเซอร์หน้าต่างใหม่ และจะปรากฏขึ้นพร้อมกับเว็บเพจที่มีโฆษณาสินค้านั้น โดย Pop-Up โฆษณาจะอยู่ด้านบนของเว็บเพจที่ผู้ใช้เรียกทำงานอยู่ (Active Window)

Pop-Under Advertising เป็นโฆษณาที่แยกออกเป็นเว็บบราวเซอร์หน้าต่างใหม่เช่นเดียวกับ Pop-Up แต่จะอยู่ด้านล่างของเว็บเพจที่ผู้ใช้เรียกทำงานอยู่ ดังนั้น ผู้ใช้จะต้องปิดเว็บเพจนั้นเสียก่อน จึงจะเห็นหน้าโฆษณานี้
แม้ว่า Pop-Up ทั้ง 2 แบบ จะช่วยสร้างจุดสนใจให้กับผู้ชมเว็บไซต์ แต่ก็สร้างความรำคาญใจได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ Pop-Up โฆษณาที่ปิดได้ยาก นอกจากนี้ ปัจจุบันยังได้มีการพัฒนาโปรแกรมบล็อกการแสดงผล Pop-Up เพื่อป้องกัน Pop-Up ที่แอบแฝงไวรัส ซึ่งมาจากผู้มีเจตนาร้ายด้วย ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเลือกลงโฆษณาด้วยวิธีนี้ จะต้องคำนึงถึงข้อจำกัดดังกล่าวด้วย




8.ยกตัวอย่างกลยุทธ์ที่ใช้ในการโฆษณาบนเว็บมา 5 ชนิด อธิบายพอสังเขป
8.1.

9.หากบริษัทคิดค่าโฆษณาจาก Click –Through บริษัทจะต้องเสียค่าโฆษณาเท่าใด ถ้าต้องการให้มีป้ายโฆษณาปรากฏขึ้นมา 100,000 ครั้ง โดยที่ป้ายโฆษณาของบริษัทที่ปรากฏขึ้นมา 1,000 ครั้ง จะมีผู้ชมคลิกที่โฆษณา 75 ครั้ง และทุกครั้งที่ผู้ชมคลิกที่ป้ายโฆษณา บริษัทจะต้องเสียค่าใช้จ่าย 5 บาท

ตอบ 37500 บาท


10.E-Catalog คืออะไร
รายการสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการได้สะดวกขึ้น รายการสินค้าจะถูกนำเสนอในรูปแบบโบรชัวร์ (Brochure)

11.บอกข้อแตกต่างระหว่างการใช้ E-Catalog และการนำเสนอสินค้าแบบโบร์ชัวร์มา 5 ข้อ






















12.เสิร์ชเอนจิ้น (Search Engine) คืออะไร

โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตได้ โดยจะทำหน้าที่ค้นหาข้อมูลในฐานข้อมูลที่มีคีย์เวิร์ด (Keyword) ตรงกับที่ผู้ใช้ระบุไว้ แล้วนำมาแสดงผลลัพธ์ด้วยกลไกการทำงานของเสิร์ชเอนจิ้น จึงช่วยลดภาระด้านต้นทุนและเวลาที่ใช้ค้นหาข้อมูลเป็นอย่างมาก

13.ตัวแทนปัญญา (Intelligent Agent) คืออะไร

โปรแกรมที่มีขีดความสามารถมากกว่าเสิร์ชเอนจิ้น นิยมนำมาใช้จัดการกับงานประจำ (Routine Tasks) ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด เช่น การเฝ้าระวังการทำงานบนเว็บ โดยคอยตรวจสอบและแจ้งเตือนผู้ใช้ หากพบว่าผู้ใช้เข้าไปใช้งานในส่วนพื้นที่ที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของข้อมูล เป็นต้น

บทที่ 2

1.บอกข้อแตกต่างของการค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Retailing) กับการค้าปลีกรูปแบบเดิม
ตอบ--
การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Retailing: E- Retailing หรือ E-Tailing) หมายถึง การขายสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภคโดยตรงผ่านอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องผ่านคนกลางแต่อย่างใด และเรียกบริษัทที่ทำธุรกิจวิธีนี้ว่า “ผู้ค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Retailer หรือ E-Tailer)”
ส่วนค้าปลีกธรรมดาคือไม่ผ่านอินเทอร์เน็ต




2.สินค้าและบริการที่จะเสนอขายผ่านร้านค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ควรมีคุณลักษณะเช่นใด
ตอบ--
สินค้าและบริการที่เสนอขายบนร้านค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์มีอยู่หลายชนิด เช่น หนังสือ ดนตรี เสื้อผ้า เครื่องประดับ บริการด้านการท่องเที่ยว บริการธุรกรรมทางการเงิน และบริการซื้อขายหุ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากต้องการทำร้านค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ให้ประสบความสำเร็จ สินค้าและบริการควรมีคุณลักษณะสำคัญ ดังต่อไปนี้



ชื่อตราสินค้า (Brand) สามารถจดจำได้ง่าย หรือเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี

มีการรับประกันคุณภาพของสินค้าหรือบริการหลังการขาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

สินค้าและบริการควรมีมาตรฐานรองรับ เพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

เป็นสินค้าที่อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์ดิจิตอล (Digital Product) ได้ เช่น ดนตรี ภาพยนตร์ หรือซอฟแวร์ เป็นต้น

หากเป็นสินค้าที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป ควรมีราคาถูกกว่าราคาปกติ

เป็นสินค้าที่ได้รับการบรรจุห่อแน่นหนา ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่าสินค้าจะไม่ถูกเปิดออกก่อนส่งถึงมือลูกค้า




3.อธิบายแบบจำลองการค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์แต่ละประเภทมาพอสังเขป
ตอบ--
- แบ่งตามแหล่งที่มาของรายได้
1. Subscription
2. Transaction fee
3. Advertising
4. Sponsorship
- แบ่งตามคุณลักษณะของเว็บไซต์
1. Direct Marketing
2. Pure E-Retailing หรือ Full cybermarketing
3. Mixed Retailing หรือ Partial cybermarketing




4.ยกตัวอย่างเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์มา 3 ชนิด
ตอบ--
-----------เว็บไซต์ท่าขายสินค้า (Shopping Portals Site)

หมายถึง เว็บไซต์ที่เป็นศูนย์กลางสำหรับการขายสินค้าและบริการ ซึ่งเปรียบได้กับห้างสรรพสินค้าที่รวบรวมผู้ขายสินค้ารายต่าง ๆ เอาไว้ แล้วจัดหมวดหมู่ของสินค้าและบริการอย่างเป็นระเบียบ เพื่อความสะดวกในการค้นหา หรือเชื่อมโยงไปยังผู้ขายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้เว็บไซต์ท่ายังให้บริการเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าและบริการตามราคา ประเภท คุณสมบัติ และเงื่อนไขของผู้ซื้อด้วย โดยเว็บไซต์ท่าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ เว็บไซต์ท่าที่ขายสินค้าเฉพาะอย่าง (Special Niche) เช่น www.krungthongplaza.com และเว็บไซต์ท่าที่ขายสินค้าและบริการหลากหลายชนิด (Comprehensive) เช่น http://market.yellowpages.co.th

-----------เว็บไซต์ตัวแทนปัญญา (Shopbots Software Agent)

หรือที่เรียกว่า “Shopping Robot” เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับค้นหาและเปรียบเทียบสินค้าและบริการในด้านต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่ผู้ซื้อต้องการ เช่น เงื่อนไขด้านราคา คุณภาพ และความนิยมของสินค้า เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้มักจะนำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent) มาประยุกต์ใช้เช่นเดียวกับ

เครื่องมือประเภทเสิร์ชเอนจิ้น ตัวอย่างเว็บไซต์ประเภทนี้ เช่น www.pricegrabbler.com,
www.nokia.co.th และ www.mysimon.com เป็นต้น
เว็บไซต์ตัวแทนปัญญายังมีบริการคอยส่งอีเมล์ เพื่อแจ้งข่าวสารไปยังลูกค้าเนื่องในโอกาสต่าง ๆ เช่น บริษัทจัดลดราคาสินค้า แนะนำสินค้าใหม่ หรือมีการประมูลสินค้ารอบสุดท้าย เป็นต้น รวมถึงการส่งข่าวสารตามความสนใจของลูกค้าที่ได้เคยกรอกรายละเอียด ไว้ในเว็บไซต์นั้นด้วย เช่น ในเว็บไซต์ Yahoo.com มีช่องรายการให้ผู้สมัครสมาชิกคลิกเลือกประเภทข้อมูลที่สนใจจะรับข่าวสารจากทางบริษัท เป็นต้น

-----------เว็บไซต์วัดความนิยมหรือเรทติ้ง (Business Rating Site)
เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความนิยม โดยเปรียบเทียบผู้ขายสินค้าและบริการแต่ละรายผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ผู้ซื้อได้ระบุความต้องการที่จะเปรียบเทียบ ตัวอย่างเว็บไซต์ประเภทนี้ เช่น www.bizrate.com และ www.gomez.com


5.อธิบายปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์มาพอสังเขป
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์
แม้ว่าการค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์จะเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ใช้เป็นอย่างมาก แต่ก็ยังมีปัจจัยบางประการที่ควรคำนึงถึง ดังต่อไปนี้
ความสามารถในการทำกำไร (Profitability) กล่าวคือ ธุรกิจไม่ควรมุ่งเน้นถึงผลกำไรจากการขายสินค้ามากจนเกินไป แต่ควรกำหนดราคาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และหากพบว่ามีสินค้าบางรายการอาจให้ผลกำไรไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ก็ไม่ควรนำมาเสนอขายด้วยวิธีนี้
ตราสินค้า (Branding) ตราสินค้าเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการตลาดเป็นอย่างมาก เนื่องจากลูกค้า
จะใช้วิธีจดจำชื่อตราสินค้าเพื่อจำแนกสินค้าของผู้ผลิตแต่ละราย ดังนั้น บริษัทควรส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถจดจำตราสินค้าของตนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยอาจใช้วิธีโฆษณาด้วยการแลกเปลี่ยนลิงค์ชื่อตราสินค้าระหว่างกันหรือโฆษณาผ่านทางเสิร์ชเอ็นจิ้นและเว็บไซต์ไดเรกทอรีก็ได้ ทั้งนี้ จะต้องคำนึงถึงต้นทุนของค่าโฆษณาด้วย ซึ่งไม่ควรมีราคาสูงจนเกินไป
ประสิทธิภาพ (Performance) หมายถึง ประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่จะรองรับ และสนับสนุนการทำงานผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะต้องมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงและให้บริการได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเว็บไซต์จะต้องแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว เพราะหากแสดงผลล่าช้าจนเกินไป ก็จะทำให้ลูกค้าเกิดความเบื่อหน่ายจนละทิ้งเว็บไซต์ของบริษัทได้
การออกแบบเว็บไซต์ (Web Site Design) จำเป็นต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์ในการนำเสนอ โดยควรจัดทำเว็บไซต์ให้มีความโดดเด่นและน่าสนใจ เพื่อดึงดูดใจให้ลูกค้าเข้ามาสั่งซื้อสินค้าหรือกลับมาเยี่ยมชมอีก
การรักษาความปลอดภัย (Security) เพื่อลดความกังวลของลูกค้าเมื่อต้องทำธุรกรรมด้านการเงินบนเว็บ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดและน่าเชื่อถือ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ สามารถตัดสินใจทำธุรกรรมกับผู้ประกอบการได้ง่าย


6.การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในขั้นตอนซื้อ-ขายสินค้า จัดว่าเป็นกลยุทธ์การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์แบบใด

ตอบ--
การให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีการเข้าใช้Vmwareจ้า

1. ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน VMware บน Dekstop


2.เลือก YES กด OK


3.เลือก New VirTual


4.กด NEXT


5.เลือก Custom


6.กด Next


7.เลือกระบบปฏิบัติการที่ต้องการติดตั้ง ในที่นี้เป็นระบบปฏิบัติการ Window Server 2003 Standard Edition


8.เลือก Next


9.เลือก One


10.เลือกขนาดความจุของ Memmory ในที่นี้เลือก 384


11.กด Next


12.กด Next


13.กด Next


14.เลือก IDE


15.เลือกขนาดความจุของ Disk Size ในที่นี้เลือก 8 GB


16.กด Finsh


17.กด Close


18.จะได้คอมพิวเตอร์จำลองขึ้นมา 1 เครื่องทันที

วิธีการลงVmwareจ้า

1. ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน Setup ในโฟล์เดอร์ VMware


2.กด NEXT


3.เลือกTypcal


4.กด NEXT


5.โปรแกรมจะบอกว่าจะสร้างIconไว้ที่ Destop , All Progream ให้เรากด Next


6.กด Intall


7.รอให้โปรแกรมติดตั้ง


8.เสร็จแล้วเลือด Finsh


9.กรอก Serial Number



10.เครื่องจะถามว่าจะReStart ตอนนี้หรือไม่ ให้กด YES

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ส่งงาน

งานที่ 6 โฆษณา





งานที่ 5 ใบประกาศนีย์บัตร





งานที่ 4 นามบัตร ขนาด45m













งานที่ 3 นามบัตร 12 ใบ






















งานที่ 2 นามบัตร 10 ใบ













งานที่ 1 certificate






วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

แบบฝึกหัด หน่วยที่ 2 เรื่องทำความรู้จักกับโปรแกรมAdobe PageMaker

1 แถบชื่อเรื่อง (Title Bar)
2.แถบเมนู (Title Bar)
3.แถบเครื่องมือ (Tool Bar)
4.กล่องเครื่องมือ (Tools Box)
5.พื้นหน้ากระดาษ (Artboard)
6.ไม้บรรทัดแนวตั้ง (Vertical Ruler)
7.เส้นแสดงกรอบกระดาษ (Guideline Margin)
8.พื้นที่กระดาษทด (Pasteboard)
9.แผงควบคุม (Control Palette)
10.แถบเลื่อนแนวตั้ง (Vertical Scroll bar)
11หน้าต้นแบบ (Master Page)
12.หน้ากระดาษ ( Page Icon)
13.แถบเลื่อนแนวนอน(Horizontal Scroll bar)

แบบฝึกหัดหน่วยที่ 1 เรื่องทำความรู้จักกับสื่อสิ่งพิมพ์

1.สื่อสิ่งพิมพ์หมายถึง

--สื่อสิ่งพิมพ์ หมายถึง หนังสือและเอกสารสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่แสดงหรือเรียบเรียงสาระความรู้ต่าง ๆ โดยใช้ตัวหนังสือที่เป็นตัวเขียน หรือตัวพิมพ์เป็นสื่อในการแสดงความหมาย สื่อสิ่งพิมพ์มีหลายชนิด ได้แก่ เอกสาร หนังสือเรียน หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร บันทึก รายงาน ฯลฯ

2.จงบอกประเภทของสื่อสิ่งพิมพ์ที่แบ่งตามระบบการผลิต

--ประเภทของสื่อสิ่งพิมพ์
สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ
- หนังสือสารคดี ตำรา แบบเรียน
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่แสดงเนื้อหาวิชาการในศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อสื่อให้ผู้อ่าน เข้าใจความหมาย ด้วยความรู้ที่เป็นจริง จึงเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่เน้นความรู้อย่างถูกต้อง
- หนังสือบันเทิงคดี
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นโดยใช้เรื่องราวสมมติ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับควา เพลิดเพลิน สนุกสนาน มักมีขนาดเล็ก เรียกว่า หนังสือฉบับกระเป๋า หรือ Pocket Book ได้
สื่อสิ่งพิมพ์เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร
- หนังสือพิมพ์ (Newspapers) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นโดยนำเสนอเรื่องราว ข่าวสารภาพและ
ความคิดเห็น ในลักษณะของแผ่นพิมพ์ แผ่นใหญ่ ที่ใช้วิธีการพับรวมกัน ซึ่งสื่อสิ่งพิมพ์ชนิดนี้ ได้พิมพ์ออกเผยแพร่ทั้งลักษณะ หนังสือพิมพ์รายวัน, รายสัปดาห์ และรายเดือน
- วารสาร, นิตยสาร เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นโดยนำเสนอสาระ ข่าว ความบันเทิง ที่มีรูปแบบการนำเสนอ ที่โดดเด่น สะดุดตา และสร้างความสนใจให้กับผู้อ่าน ทั้งนี้การผลิตนั้น มีการ กำหนดระยะเวลาการออกเผยแพร่ที่แน่นอน ทั้งลักษณะวารสาร, นิตยสารรายปักษ์ (15 วัน) และ รายเดือน
- จุลสาร เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นแบบไม่มุ่งหวังผลกำไร เป็นแบบให้เปล่าโดยให้ผู้อ่านได้ศึกษา
หาความรู้ มีกำหนดการออกเผยแพร่เป็นครั้ง ๆ หรือลำดับต่าง ๆ ในวาระพิเศษ
- สิ่งพิมพ์โฆษณา
- โบร์ชัวร์ (Brochure) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีลักษณะเป็นสมุดเล่มเล็ก ๆ เย็บติดกันเป็นเล่ม
จำนวน 8 หน้าเป็น อย่างน้อย มีปกหน้าและปกหลัง ซึ่งในการแสดงเนื้อหาจะเกี่ยวกับโฆษณาสินค้า
- ใบปลิว (Leaflet, Handbill) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ใบเดียว ที่เน้นการประกาศหรือโฆษณา มักมีขนาด A4 เพื่อง่ายในการแจกจ่าย ลักษณะการแสดงเนื้อหาเป็นข้อความที่ผู้อ่าน อ่านแล้วเข้าใจง่าย
- แผ่นพับ (Folder) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตโดยเน้นการนำเสนอเนื้อหา ซึ่งเนื้อหาที่นำเสนอนั้น
เป็นเนื้อหา ที่สรุปใจความสำคัญ ลักษณะมีการพับเป็นรูปเล่มต่าง ๆ
- ใบปิด (Poster) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์โฆษณา โดยใช้ปิดตามสถานที่ต่าง ๆ มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ซึ่งเน้นการนำเสนออย่างโดดเด่น ดึงดูดความสนใจ
สิ่งพิมพ์เพื่อการบรรจุภัณฑ์
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ใช้ในการห่อหุ้มผลิตภัณฑ์การค้าต่าง ๆ แยกเป็นสิ่งพิมพ์หลัก ได้แก่ สิ่งพิมพ์ที่ใช้ปิดรอบขวด หรือ กระป๋องผลิตภัณฑ์การค้า สิ่งพิมพ์รอง ได้แก่ สิ่งพิมพ์ที่เป็นกล่องบรรจุ หรือลัง
สิ่งพิมพ์มีค่า
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่เน้นการนำไปใช้เป็นหลักฐานสำคัญต่าง ๆ ซึ่งเป็นกำหนดตามกฎหมาย เช่น ธนาณัติ, บัตรเครดิต, เช็คธนาคาร, ตั๋วแลกเงิน, หนังสือเดินทาง, โฉนด เป็นต้น


3.จงบอกประเภทของสื่อสิ่งพิมพ์ที่แบ่งตามลักษณะ


--สิ่งพิมพ์ลักษณะพิเศษ
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์มีการผลิตขึ้นตามลักษณะพิเศษแล้วแต่การใช้งาน ได้แก่ นามบัตร, บัตรอวยพร, ปฎิทิน,บัตรเชิญ,ใบส่งของ,ใบเสร็จรับเงิน,สิ่งพิมพ์บนแก้ว ,สิ่งพิมพ์บนผ้า เป็นต้น
สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ได้แก่ Document Formats, E-book for Palm/PDA เป็นต้น


4.คอมพิวเตอร์มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์

--ใช้ออกแบบ ตกแต่ง และพิมพ์


5.จงอธิบายขั้นตอนหรือกระบวนการในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์

--การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์สามารถจัดลำดับได้เป็นขั้นตอนหรือ "กระบวนการ" ให้เห็นภาพตั้งแต่เริ่มต้นทำงานจนสำเร็จให้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้
กระบวนการหมายถึง "กรรมวิธี" หรือ ลำดับการกระทำซึ่งดำเนินต่อเนื่องกันไปจนถึงสำเร็จลง ระดับหนึ่งมาจากภาษาอังกฤษคำว่า "Process"
กระบวนการในขั้นตอนของการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์แบ่งได้เป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆด้วยกัน (จันทนา ทองประยรู, 2537 : 21) ได้เแก่ งานก่อนพิมพ์ (Prepress Work) งานพิมพ์ (Press Work) และงานทำสำเร็จ (Finishing After Press Work)


6.อุปกรณ์หลักๆที่ใช้ในการจัดเตรียมArt Work ประกอบด้วยอะไรบ้าง

--โปรแกรม Pagemaker

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์

1. เริ่มต้นรู้จักกับการสร้างสิ่งพิมพ์
1.1. กระบวนการผลิตงานสิ่งพิมพ์จะประกอบไปด้วยขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย เชํน การเตรียมไฟล์งาน การจัดการกับภาพ กระดาษที่ใช้ในการพิมพ์ เพื่อให๎ได๎เป็นผลงานในรูปแบบที่ต้องการ
1.2. การเตรียมงานพิมพ์ เริ่มแรกระบบการพิมพ์จะใช้ชำงศิลป์ ชำงเลย์ฟิล์ม และชำงทำแมํพิมพ์ ตํอมาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ได๎เข๎ามามีบทบาททำให๎สามารถสร้างสรรค์งานสิ่งพิมพ์ได้สะดวกงำย แตํปัญหาที่ตามมาคือ ไฟล์ต้นฉบับที่สํงมาไมํสอดคล้องกับมาตรฐานการทำงานของทางโรงพิมพ์ ดังนั้น ผู๎สร้างสิ่งพิมพ์เรียบร้อย ต้องการสํงงานเพื่อจัดพิมพ์ให้เป็นผลงาน ต้องพิจารณา
1.2.1. สํงไฟล์ข้อมูล ไฟล์ภาพ หรือฟอนต์ ให้กับทางโรงพิมพ์
1.2.2. ความละเอียดของไฟล์ไฟล์ที่สํงไป
1.2.3. โปรแกรมที่เหมาะสมกับการทำงาน เชํน พิมพ์ข้อความผำนโปรแกรม Word สร้างภาพจากโปรแกรม Illustrator ตกแต่งภาพด้วย Photoshop จัดและนำข้อมูลมาประกอบลงบนหน้าสิ่งพิมพ์ด้วยโปรแกรม PageMaker เป็นต้น

2. เรื่องภาพกับการพิมพ์
2.1.1. การนำภาพมาประกอบลงบนสิ่งพิมพ์ เชํน สแกนเนอร์ กล้องดิจิตอล แผํนซีดี อินเทอร์เน็ต ใช้โปรแกรมจับภาพ หรือแม้แตํการสร้างภาพที่ต้องการขึ้นมาเอง
2.1.2. ความแตกตำงของภาพเวกเตอร์ และ บิตแม็พ ภาพทุกภาพจะแบํงออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ภาพเวกเตอร์ เกิดจากการคำนวณคำทางคณิตศาสตร์ สร้างขึ้นด้วยโปรแกรม Illustrator ,Corel Draw Freehand ภาพที่ได๎ลักษณะเป็นการ์ตูน เรียกวำ Clip Art ข้อดีของภาพเวกเตอร์ ไฟล์มีขนาดเล็ก มีความคมชัด และ ภาพบิตแม็พ เกิดจากพิกเซล (Pixel) เป็นชํองสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียงตํอกัน เมื่อขยายขนาดจะสํงผลทำให้คุณภาพของงานลดลง เหมาะกับงานที่ต๎องการความละเอียดสีมาก ๆ เชํน รูปถำย
2.1.3. ความละเอียดที่เหมาะสมของภาพ ภาพสแกนหรือใช้โปรแกรมจับภาพ ความละเอียด 300 dpi (dot per Inch) สํวนภาพจากกล๎องดิจิตอล ความละเอียดระดับปานกลาง 2-5 ล้านพิกเซล สํวนความละเอียดสูง 6 ล้านพิกเซลขึ้นไป
2.1.4. โหมดสี RGB และ CMYK โดยปกติภาพที่นำเข้ามาใช้งานอยูํโหมด RGB ( Red-Green-Blue) เป็นโหมดแสดงบนหน้าจอทั่วไป ถ้ำสํงไฟล์งานให้โรงพิมพ์ ต้องกำหนดเป็นโหมด CMYK(Cyan-Magenta-Yellow-Black) แทนเนื่องจาก ภาพโหมด RGB มีความสวำงมากกวำ CMYK สามารถปรับโหมดสีด้วยโปรแกรมตกแตํงภาพ เชํน Photoshop เมนู Image-->Mode-->CMYK Color
2.1.5. การบันทึกไฟล์ภาพ ที่เหมาะสมกับการสร้างสรรค์สิ่งพิมพ์ ได้แกํ TIFF และ EPS ดังนี้ TIFF (Tag Image File Format) เป็นรูปแบบ/ฟอร์แมตที่นิยมในการสร้างสิ่งพิมพ์ เนื่องจากรองรับการแสดงผลบนหน้าจอ ภาพที่ได้จะมีลักษณะเป็นบิตแม็พ EPS (Encapsulated PostScript) เหมาะกับการสํงโรงพิมพ์ เป็นการคำนวณคำสี ตามแบบของโรงพิมพ์ 4 สี หรือที่เรียกวำ CMYK รองรับทั้งเวกเตอร์ และบิตแม็พ แตํถ้ำแสดงผลบนหน้าจอจะมีความละเอียดที่ต่ำแคํ 256 สีเทำนั้น
3. ขนาดของกระดาษมาตรฐานสำหรับงานพิมพ์
ควรคำนึงถึงขนาดกระดาษมาตรฐานที่มีให๎เลือกใช้งานแบํงออกเป็น 3 ชุด คือ A B แล C สำหรับ A,B เป็นกระดาษแผํนใหญํ เหมาะกับการจัดทำหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ทั่วไป สํวน C เป็นขนาดของซองกระดาษ4. คำแนะนำในการจัดทำหนังสือ การผลิตหนังสือ นิตยสาร จุลสาร วารสาร แมกกาซีน หรือพ็อกเก็ตบุคส์ เพื่อวางจำหนำยตามท้องตลาดทั่วไป สิ่งที่ควรพิจารณากํอนที่จะจัดทำคือ
4.1. ต้องรู๎วำจะจัดทำหนังสือประเภทใดเชํน คอมพิวเตอร์ ทํองเที่ยว อาหาร บันเทิง เป็นต้น
4.2. กำหนดกลุ่มํเป้าหมายให้ชัดเจน เป็นเด็ก วัยรุ่ํน หรือผู้๎อำนมีความเชี่ยวชาญระดับใด
4.3. ดูแหลํงที่มาของรายได้ เน้นมาจากโฆษณา ไมํควรพิมพ์เยอะ แตํถ้ามาจากยอดจำหนำยต้องเน้นสํวนของเนื้อหาแทน
4.4. การออกแบบรูปเลํมของหนังสือ เพื่อให้ดูโดดเดํนสามารถแขํงกับหนังสือเลํมอื่นที่มีอยูํในท้องตลาด4.5. พิมพ์จากกระดาษที่มีคุณภาพ เชํน ขาวสะอาด ขาวหมํน หนา
4.6. รูปแบบการพิมพ์ ขาว-ดำ ต้นทุนในการพิมพ์ลดลง พิมพ์ 4 สี ชํวยความนำสนใจ การพิมพ์ก็จะสูงขึ้น4.7. การกำหนดราคาขาย สำหรับหนังสือทั่วไป พิจารณาเปรียบเทียบจากคูํแขํง หากเป็นหนังสือเฉพาะด้าน ไมํมีการลงโฆษณา หรือไมํมีทั่วไปในท้องตลาด สามารถกำหนดราคาขายให้สูงกวำได้
4.8. การจัดจำหนำย ทำโดยผำนบริษัทตำง ๆ ที่รับผิดชอบด้านนี้โดยตรง ซึ่งจะชํวยประหยัดเวลา บุคลากรและคำใช๎จำยอื่น ๆ
5. ประเภทและตัวอย่างการสร้างสรรค์สิ่งพิมพ์ในรูปแบบต่าง ๆ สิ่งพิมพ์แบํงเป็น 2 ประเภท คือสิ่งพิมพ์ 2 มิติ คือมีลักษณะเป็นแผํนราบ ใช้วัสดุจำพวกกระดาษ ตัวอยำงเชํน หนังสือ นิตยสาร วารสาร จุลสาร หนังสือพิมพ์ แผํนพับ โบรชัวร์ โปสเตอร์ ใบปลิว นามบัตร เป็นต๎น และสิ่งพิมพ์ 3 มิติ มีลักษณะพิเศษต้องอาศัยระบบการพิมพ์แบบพิเศษ เป็นการพิมพ์ลงบนผลิตภัณฑ์เป็นรูปทรง เชํน การพิมพ์สกรีนบนภาชนะตำง ๆ กระป๋อง แก้ว พลาสติก การพิมพ์ระบบแพดบนภาชนะที่มีผิวตำงระดับ เชํน เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปั้นดินเผา งานเซรามิก การพิมพ์ระบบพํนหมึก เชํน การพิมพ์วันหมดอายุของอาหารกระป๋องตำง ๆ
6. กระบวนการในการผลิตสิ่งพิมพ์
6.1. หลังจากสร้างผลงานพร้อมทั้งจัดเตรียมไฟล์ตำง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน จะต้องจัดหาโรงพิมพ์เพื่อพิมพ์ผลงาน โดยมีกระบวนการดังนี้ติดตํองานกำหนดลักษณะงาน- ขนาด - จ านวนพิมพ์ - ลักษณะกระดาษ - ระบบการพิมพ์ประเมินราคาทำข้อตกลงกระบวนการจัดพิมพ์งานกํอนกระบวนการพิมพ์สิ่งพิมพ์ งานในกระบวนการพิมพ์สิ่งพิมพ์งานวางแผน งานบรรณาธิการ งานกํอนพิมพ์ งานพิมพ์ งานหลังพิมพ์-ระบุลักษณะงาน -ออกแบบจัดหน๎า -ตกแตํงภาพ -ออฟเซต - ตัด - กะต้นฉบับให๎กับเนื้อที่-ตรวจแก้ไข -จัดประกอบแบบ -เลดเดอร์เพรลส์- พับ - ระบุเวลาแล้วเสร็จ -เตรียมต้นฉบับ -แยกสี -เฟล็กโซกราฟี - ปั้ม -กำหนดรายละเอียด -ปรุฟ -กราวัวร์ - ปะ -ฟิล์ม -อินทาลโย - เข้าเลํม -เพลต -ฉลุลายผ้า - ประกบ
6.2. อ้างอิงเว็บไซต์ทางด้านกราฟิกสิ่งพิมพ์ที่ควรรู๎จัก
6.2.1.
http://www.adobe.com เว็บไซต์ผู๎ผลิตซอฟต์แวร์ PageMaker , Acrobat, Photoshop ,Illustrator InDesign ฯลฯ เป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัท Adobe
6.2.2.
http://www.macdd.com รวบรวมข๎อมูลขำวสารและบทความตำง ๆ เพื่อการใช๎งานทางด๎านกราฟิกสิ่งพิมพ์ทั้ง Mac และ PC
6.2.3.
http://www.thaiprint.com แสดงลิงก์และรายละเอียดที่เกี่ยวข๎องเพื่อให๎การสร้างสรรค์สิ่งพิมพ์เป็นไปอยำงมืออาชีพ
6.2.4.
http://www.pdfthai.com เว็บที่ให๎รายละเอียดเกี่ยวกับการใช๎งาน และปัญหาที่พบเกี่ยวกับการแปลงไฟล์ PDF รวมถึงเทคนิคในการทำงานกับโปรแกรม Acrobat
6.2.5.
http://www.stou.ac.th/thai/train/train_pt เว็บของผู้สนใจต้องการเข้ารับการฝึกอบรมและทำงานเกี่ยวกับการพิมพ์โดยเฉพาะ
6.2.6. http://www.indesignthai.com เว็บสำหรับผู๎ที่ต้องการหาความรู้๎เพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม InDesign